โครงสร้างหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานนอกระบบ
การปรับปรุงและเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินงาน
ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 พ.ศ.2559
………………………………………………
ความเป็นมาและแนวคิด
เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ นานาประเทศต่าง
ก็พัฒนาคนในชาติของตนเองผ่านระบบการศึกษาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศประสบปัญหา เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาความแตกต่างกันทางด้านความคิด ปัญหาการใช้ความรุนแรง ปัญหาสังคมเด็กติดเกม
สารเสพติด และการพนันต่าง ๆ เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงระบบการจัดการศึกษาของประเทศว่าการศึกษาได้ทำหน้าที่ของการเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้เพียงใด
ในอีกด้านหนึ่ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2558 กำหนดเป้าหมายให้ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 12 ปี แต่จากการสำรวจภาวการณ์การมีงานทำของประชากร พ.ศ. 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แรงงานไทยอายุระหว่าง 15-59 ปี จำนวนประมาณ 25.08 ล้านคน จากจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 34.85 ล้านคน เป็นผู้ที่ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับดังกล่าวกับผลการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของประชาชนในปี พ.ศ. 2557 เฉพาะประชากรวัยแรงงาน ที่ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี รัฐบาลยังมีภาระที่ต้องยกระดับการศึกษาของประชากร อีก 25 ล้านคน ซึ่งเป็นความยากที่จะให้บรรลุเป้าหมายตามแผน
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษายังไม่สามารถช่วยให้ประชาชนบางส่วนมีความรู้ มีความสามารถและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ รวมถึงการพัฒนาจิตใจและจิตสำนึกในความเป็นคนดีได้ และเด็กและเยาชนส่วนหนึ่งต้องออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานทำงานในสถานประกอบการทั้งๆที่ไม่มีทักษะฝีมือในการทำงาน และอีกส่วนหนึ่งปฏิเสธระบบการศึกษา ไปอยู่ในสถานที่
สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาทางสังคมตามมา
สำนักงาน กศน. มีบทบาทในการพัฒนาประชาชนที่อยู่นอกระบบโรงเรียน จึงหามาตรการที่จะทำให้การจัดการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้อย่างแท้จริง และสามารถยกระดับการศึกษาของแรงงานดังกล่าว เพื่อให้จำนวนประชากรของชาติมีระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงขึ้น โดยจะนำหลักการและแนวคิดในการจัดการศึกษานอกระบบมาใช้ให้เป็นรูปธรรม หลักการและแนวคิดดังกล่าวมีด้วยกัน 5 ประการ คือ
1) หลักความเสมอภาค 2) หลักการพัฒนาตนเองและการพึ่งตนเอง 3) หลักการบูรณาการกับวิถีชีวิต 4) หลักความสอดคล้อง 5) หลักการเรียนรู้ร่วมกันและการมีส่วนร่วมของชุมชนสังคม โดยจะปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานในบางเรื่อง ให้สามารถดำเนินการเพื่อยกระดับการศึกษาของประชากรไทยให้ได้ และมุ่งจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ของประชาชน ชุมชนและสังคม ยึดผู้เรียนเป็นเป้าหมาย โดยจะจัดให้มีโปรแกรมการเรียนที่หลากหลาย สอดคล้องกับการทำงาน การประกอบอาชีพของผู้เรียนเพื่อพัฒนาและยกระดับการทำงาน และการประกอบอาชีพของตนเอง หรือต่อยอดการงานอาชีพ ด้วยแนวคิดและความจำเป็นดังกล่าว จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและบริบทของชุมชน สังคม
มากยิ่งขึ้น
2. เพื่อเร่งรัดการยกระดับปีการศึกษาเฉลี่ยของประชาชน
หลักเกณฑ์การดำเนินงานที่ปรับปรุง
เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 บรรลุตามหลักการของหลักสูตรมากยิ่งขึ้น จึงปรับปรุงและเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินงาน
ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. โครงสร้างหลักสูตร
โครงสร้างหลักสูตร
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ที่
|
สาระการเรียนรู้
|
จำนวนหน่วยกิต
|
ประถมศึกษา
|
มัธยมศึกษาตอนต้น
|
มัธยมศึกษาตอนปลาย
|
วิชาบังคับ
|
วิชาเลือก
|
วิชาบังคับ
|
วิชาเลือก
|
วิชาบังคับ
|
วิชาเลือก
|
1
|
ทักษะการเรียนรู้
|
5
|
|
5
|
|
5
|
|
2
|
ความรู้พื้นฐาน
|
12
|
|
16
|
|
20
|
|
3
|
การประกอบอาชีพ
|
8
|
|
8
|
|
8
|
|
4
|
ทักษะการดำเนินชีวิต
|
5
|
|
5
|
|
5
|
|
5
|
การพัฒนาสังคม
|
6
|
|
6
|
|
6
|
|
รวม
|
36
|
12
|
40
|
16
|
44
|
32
|
48 นก.
|
56 นก.
|
76 นก.
|
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
|
200 ชม.
|
200 ชม.
|
200 ชม.
|
โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คงใช้
โครงสร้างเดิม แต่จะปรับรายละเอียดภายใน ซึ่งไม่กระทบต่อมาตรฐานและสาระการเรียนรู้ในหลักสูตร ดังนี้
1.1 วิชาบังคับ
1.1.1 ปรับเนื้อหาบางรายวิชาให้มีความทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง
1.1.2 วิเคราะห์เนื้อหาที่ต้องรู้ในรายวิชาบังคับ และจัดทำสื่อเผยแพร่ให้สถานศึกษาและผู้เรียนนำไปใช้ในการเรียน
1.2 วิชาเลือก วิชาเลือกจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ วิชาเลือกบังคับ และวิชาเลือกเสรี โดยกำหนดสัดส่วนดังนีh
1.2.1 วิชาเลือกบังคับ เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นตามนโยบายของประเทศ และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤต
ของประเทศในเรื่องต่างๆ ในช่วงแรก จะพัฒนาจำนวน 2 วิชา ทั้ง 3 ระดับ คือ วิชาพลังงานไฟฟ้า และความรู้ทาง
การเงิน
1.2.2 วิชาเลือกเสรี เป็นวิชาที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นเอง โดยให้ยึดหลักการในการพัฒนา คือ
1) พัฒนาโปรแกรมการเรียน เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางและเป้าหมายทางการเรียนของผู้เรียน สถานศึกษาจึงต้องวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น และความสนใจของผู้เรียน เพื่อออกแบบโปรแกรมการเรียน ภายในโปรแกรมการเรียนจะประกอบไปด้วยรายวิชาต่างๆ ที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้
2) การพัฒนารายวิชาในโปรแกรมการเรียน สถานศึกษาควรดำเนินการร่วมกับผู้เรียนและภูมิปัญญา ผู้รู้ หรือผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ จัดทำโปรแกรมการเรียนและพัฒนารายวิชาต่างๆ
2. การจัดกระบวนการเรียนรู้
2.1 ครู กศน. เป็นผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเป็นรายกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และ รายบุคคล ( Individualized Education Program /Plan) ในขณะเดียวกันครูและผู้เรียนต้องร่วมกันในการอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์และสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน อันจะทำให้ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ
2.2 ผู้เรียนใช้วิธีการเรียนรู้หลายวิธีผสมกันทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การพบกลุ่ม การเข้าค่าย การสอนเสริม หรือ การเรียนโดยโครงงาน การเรียนรู้ที่หลากหลายวิธีจะต้องมีแผนการเรียนรู้ โดยครูและผู้เรียนจัดทำสัญญาการเรียนรู้ร่วมกัน และครูจะเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนและกำกับให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปตามแผนและบรรลุเป้าหมาย
3. สื่อ
3.1 สื่อวิชาเลือกบังคับกลุ่มพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจัดทำต้นฉบับ
3.2 สื่อรายวิชาเลือกเสรี สถานศึกษาจัดทำหลักสูตรรายวิชาเลือกเสรี แล้วเสนอให้คณะกรรมการของ สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจารณา ตรวจสอบสอดคล้องของรายวิชากับโปรแกรมการเรียน สอดคล้องกับมาตรฐานของกลุ่มสาระในแต่ละระดับการศึกษา จากนั้น สำนักงาน กศน.จึงขอรหัสรายวิชาเลือกจากระบบโปรแกรมรายวิชาเลือก ทั้งนี้
ไม่อนุญาตให้พัฒนารายวิชาเลือกที่เรียนได้ทุกระดับการศึกษา
3.3 รูปแบบของสื่อ มี 2 รูปแบบ คือ แบบชุดวิชาและแบบเรียนปลายเปิดโดยให้พิจารณา
ตามธรรมชาติของวิชา
3.4 การจัดทำสื่อเสริมการเรียนรู้ กลุ่มพัฒนาการศึกษานอระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ร่วมกันผลิตสื่อเสริมการเรียนรู้ในเนื้อหาที่ยาก เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจในการเรียนรายวิชาต่างๆ
4. การวัดและประเมินผล
การวัดและประเมินผลจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
4.1 วิชาบังคับ สำนักงาน กศน.กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน เป็น 60 : 40 โดยวัดผลในเนื้อหาที่ต้องรู้ และจัดทำ Test Blueprint เฉพาะเนื้อหาที่ต้องรู้ Test Blueprint ดังกล่าว จะสอดคล้องกับการสอบ N-net ด้วย
4.2 วิชาเลือกบังคับ กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคและปลายภาค คือ 60 : 40 โดยกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำ Test Blueprintและจัดทำแบบทดสอบ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
4.3 วิชาเลือกเสรี สถานศึกษาปรับปรุงระเบียบสถานศึกษาว่าด้วยการวัดและประเมินผล
การเรียน โดยเพิ่ม เกณฑ์การวัดและประเมินผล
5. การเทียบโอนผลการเรียน
สำนักงาน กศน. มีนโยบายให้ดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนโดยใช้วิธีการต่าง ๆ คือ
5.1 ปรับแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างๆ ของการศึกษาในระบบให้สามารถ
เทียบโอนเข้าสู่การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
5.2 พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนกลุ่มอาชีพ เช่น กลุ่มอาชีพนวดแผนไทย กลุ่มอาชีพพนักงาน
รักษาความปลอดภัย เป็นต้น
5.3 พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนจากหลักฐานการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ ที่หน่วยงานต่างๆ เป็นผู้
ประเมิน เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ หรือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีระบบการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพให้กับผู้ประกอบอาชีพ เพื่อมาจัดทำหลักเกณฑ์การเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพต่างๆเหล่านี้ร่วมกัน
6. แผนการลงทะเบียนเรียน 4 ภาคเรียน
การลงทะเบียนเรียนในช่วงแรก สำนักงาน กศน.กำหนดแผนการลงทะเบียนให้เป็นแนวเดียวกัน
สำหรับผู้เรียนที่ขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2559 ตัวอย่างแผนการลงทะเบียนเรียน
เข้าชม : 1178 |