7 พฤติกรรมออกกำลังกายผิดวิธี
การออกกำลังกาย เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย แต่ถ้าคุณเริ่มออกกำลังกายโดยไม่มีความรู้ แทนที่คุณจะได้ผลดีแบบเต็มๆ กลับกลายเป็นคุณได้ผลเสียตามมาด้วย 7 พฤติกรรมออกกำลังกายผิดวิธี thaihealth แฟ้มภาพ วันนี้เราจึงมีความรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายแบบผิดวิธีมานำเสนอ เป็น 7 ข้อสำคัญที่ส่งผลต่อร่างกายของคุณโดยตรง หากใครกำลังทำแบบข้อเหล่านี้อยู่ล่ะก็รีบเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตามคำแนะนำกันเลย 1. ไม่อบอุ่นร่างกาย บ่อยครั้งที่หลายคนพยายามประหยัดเวลาโดยการข้ามขั้นตอนการอบอุ่นร่างกายไป ทั้งที่การอบอุ่นร่างกายจะช่วยปรับระบบประสาทให้พร้อมสำหรับการออกกำลังกาย และป้องกันอาการหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหรือเหนื่อยเร็วเกินไปอีกด้วย การอบอุ่นร่างกายสามารถทำได้โดยการออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเร็วพร้อมกับหมุนแขนเป็นวงกลม หรือเดินย่ำอยู่กับที่และเอาแขนวางไว้เหนือศีรษะ หากมีเหงื่อซึมๆ นั่นก็หมายความว่าอบอุ่นร่างกายพอแล้ว 2. เดินหรือบริหารหัวใจเพียงอย่างเดียวและเลี่ยงการยกน้ำหนัก การบริหารหัวใจหรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ จะช่วยทำให้หัวใจแข็งแรงและเผาผลาญแคลอรี่ แต่การยกน้ำหนักหรือบอดี้เวทก็ให้คุณประโยชน์ไม่แพ้กัน กล้ามเนื้อของคุณจะค่อยๆ เสื่อมสภาพเมื่อแก่ตัวลงเนื่องจากไม่มีการออกกำลังกายที่มากพอ และกระบวนการเผาผลาญก็ช้าลง ดังนั้นอย่ามองข้ามการยกน้ำหนักเพราะกล้ามเนื้อจะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าไขมันสะอีก 3. ลืมยืดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อตึงมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้น เกิดจากการสูญเสียของเหลวและความยืดหยุ่นตามเอ็นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น คุณควรฝึกยืดหยุ่นร่างกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง การยืดกล้ามเนื้อทำได้ทั้งโยคะหรือพิลาทิส รวมถึงการยืดกล้ามเนื้ออยู่กับที่ (ยืดกล้ามเนื้อและค้างไว้) การออกกำลังกายด้วยโยคะและพิลาทิสนั้น จะช่วยเสริมสร้างความสมดุลและพัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การออกกำลังกายทั้ง 2 อย่างนี้ มีความสำคัญในเรื่องการปกป้องข้อต่อสะโพกและกระดูกสันหลัง ซึ่งจะช่วยให้เรายืนได้อย่างมั่นคง รวมทั้งมีกระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลัง และกล้ามเนื้อแข็งแรงยิ่งขึ้น * ข้อสังเกต การยืดกล้ามเนื้อไม่ใช่การอบอุ่นร่างกาย และควรทำหลังจากที่อบอุ่นร่างกายหรือออกกำลังกายเสร็จแล้วเท่านั้น 4. ไม่ได้รับการประเมินผลจากมืออาชีพ นอกจากใบรับรองแพทย์กับการตรวจสุขภาพร่างกายก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกายแล้ว คุณควรหาครูฝึกที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรองมาพิจารณาว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ ครูฝึกที่มีคุณสมบัติจะช่วยให้คำแนะนำในเรื่องการออกกำลังกาย, เครื่องออกกำลังกาย, ความหนักเบาและระยะเวลาที่เหมาะสมกับคุณ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและเพื่อให้ร่างกายของคุณได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย 5. หักโหมเกินไป เร่งเกินไป ความตื่นเต้นที่จะได้ออกกำลังกายแนวใหม่ๆ อาจทำให้คุณหักโหมมากเกินไป เช่น การออกกำลังกายทุกวัน หรือการยกน้ำหนักมากเกิน แทนที่จะค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและเหนื่อยล้า การออกกำลังกายเพื่อบริหารหัวใจ 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์หรือการฝึกที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อประมาณ 3 ครั้งก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับผู้ที่เริ่มออกกำลังกายใหม่ๆ คุณควรค่อยๆ เพิ่มระดับกับระยะเวลาและเลือกออกกำลังกายทีละอย่าง หากคุณเลือกออกกำลังกายเพื่อบริหารหัวใจก็ควรงดการยกน้ำหนักในวันนั้น 6. คิดว่าตัวเองแก่เกินไป ผู้ที่เริ่มออกกำลังกายส่วนใหญ่ที่อายุมากกว่า 50 ปี มักจะตั้งเป้าต่ำเกินไปและชอบคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเขามักคิดว่าสายเกินไปที่จะฝึกยกน้ำหนักซึ่งมันไม่ใช่เรื่องจริงเลย จากการศึกษาหลายครั้งเผยว่าการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงสุขภาพของหัวใจด้วย นอกจากนี้การออกกำลังกายระดับปานกลางของผู้ที่มีอายุ 70 ปีหรือมากกว่านั้นจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหลังจากที่ออกกำลังกายประมาณ 1 ปี 7. เริ่มโดยการวิ่งจ็อกกิ้ง การวิ่งหรือวิ่งจ็อกกิ้งทั้งที่ร่างกายของคุณไม่แข็งแรงเพียงพอถือเป็นความผิดพลาดที่พบเห็นได้ทั่วไป การวิ่งอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจแต่ยังมีอีกหลายวิธีที่ไม่ทำให้ข้อต่อของคุณเสื่อมสภาพ ได้แก่ การปั่นจักรยาน การเดินออกกำลังกายด้วยเครื่อง การออกกำลังกายในน้ำ หรือการเต้นเพื่อบริหารหัวใจ เช่น ซุมบา แอโรบิก ลีลาศ เป็นต้น