6 วิธีต้องทำ ลดนำเชื้อโควิด-19 เข้าบ้าน
ที่มา : https://www.sanook.com/health/32317/ 20 ม.ค. 65 (15:02 น.)
ในช่วงที่คนเริ่มต้องออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน เพราะหลายที่เริ่มเปิดให้ไปเรียน หรือไปทำงานที่โรงเรียนหรือสถานที่ทำงานเดิม ต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่นำเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 กลับเข้าไปในบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัยและผู้ที่มีโรคประจำตัวที่จะมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ รวมถึงเด็กเล็กที่ตอนนี้พบว่าติดเชื้อโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอนมากขึ้นด้วย
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า สถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้ อยู่ในช่วงเฝ้าระวังทั้งสายพันธุ์เดลต้า และสายพันธุ์ใหม่โอมิครอน ซึ่งประชาชนที่ยังคงต้องเดินทางไปทำงาน หรือไปทำธุระในพื้นที่สาธารณะ ทำให้มีโอกาสที่จะใช้หรือสัมผัสพื้นผิวร่วมกัน เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ปุ่มกดลิฟต์ โต๊ะ เก้าอี้ ห้องน้ำ เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ ดังนั้น เมื่อเดินทางกลับบ้านควรทำความสะอาดตัวเองลดความเสี่ยงการติดเชื้อไปยังบุคคลในครอบครัว โดยปฏิบัติตัวดังนี้
-
ล้างมือทันที เมื่อกลับถึงบ้านด้วยสบู่และน้ำอย่างน้อย 20 วินาที หรือตั้งแอลกอฮอล์เจลสำหรับล้างมือไว้ที่ประตูหน้าบ้าน
-
ถอดรองเท้าหรือหาที่เก็บรองเท้าไว้นอกบ้าน เพื่อลดโอกาสที่รองเท้าจะไปสัมผัสเชื้อโรค และนำมาแพร่เชื้อต่อ
-
ถอด และทำความสะอาดหน้ากากผ้า โดยใช้สบู่หรือผงซักฟอก จากนั้นตากแดดฆ่าเชื้อให้แห้งสนิท ก่อนนำมาใส่ซ้ำอีกครั้ง สำหรับหน้ากากอนามัย เมื่อใช้แล้วขณะถอดให้จับที่สายคล้องหูเพื่อไม่ให้สัมผัสเชื้อโรค แล้วทิ้งในถังขยะมีฝาปิด และควรล้างมือให้สะอาดทันที
-
เมื่อเข้ามาในตัวบ้านให้อาบน้ำ สระผม ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่ให้นำไปซักอย่าเก็บไว้
-
ไม่ควรสัมผัสกับบุคคลในบ้าน โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ หากเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง
-
หลีกเลี่ยง การกินข้าวร่วมกัน แยกสำรับ อุปกรณ์ ช้อน ส้อม และเน้นกินอาหารปรุงสุกร้อนอยู่เสมอ โดยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ควรทำอาหารกินเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการไปในพื้นที่แออัดหรือพื้นที่เสี่ยง
ทั้งนี้ เมื่อกลับเข้ามาในบ้านแล้ว ให้เปิดประตู หน้าต่าง ระบายอากาศให้โล่ง โปร่ง มีการไหลเวียนอากาศในบ้านตลอดเวลา กรณีใช้เครื่องปรับอากาศ ควรปิดพักและเปิดหน้าต่างช่วยระบายอากาศ แต่หากใช้พัดลม ให้หมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทุกคน
ขอขอบคุณ
ข้อมูล :กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
เข้าชม : 379
|