[x] ปิดหน้าต่างนี้
 

ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ตำบลรำแดง (สกร.ตำบลรำแดง) ยินดีต้อนรับครับ เบอร์โทรศัพท์ 093-9644354 email poo16082517@gmail.com
 
การศึกษาขั้นพื้นฐาน


 

การปรับปรุงและเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินงาน

ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551  พ.ศ.2559

………………………………………………

 

ความเป็นมาและแนวคิด

 

เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ นานาประเทศต่าง

ก็พัฒนาคนในชาติของตนเองผ่านระบบการศึกษาเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปประเทศประสบปัญหา เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหาความแตกต่างกันทางด้านความคิด ปัญหาการใช้ความรุนแรง ปัญหาสังคมเด็กติดเกม

สารเสพติด และการพนันต่าง ๆ เป็นต้น ปัญหาดังกล่าวสะท้อนถึงระบบการจัดการศึกษาของประเทศว่าการศึกษาได้ทำหน้าที่ของการเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้เพียงใด

                    ในอีกด้านหนึ่ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555-2558 กำหนดเป้าหมายให้ปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 12 ปี แต่จากการสำรวจภาวการณ์การมีงานทำของประชากร  พ.ศ. 2557 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า แรงงานไทยอายุระหว่าง 15-59 ปี จำนวนประมาณ 25.08 ล้านคน จากจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 34.85 ล้านคน เป็นผู้ที่ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเป้าหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับดังกล่าวกับผลการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับการศึกษาของประชาชนในปี พ.ศ. 2557 เฉพาะประชากรวัยแรงงาน ที่ยังไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี รัฐบาลยังมีภาระที่ต้องยกระดับการศึกษาของประชากร อีก 25 ล้านคน ซึ่งเป็นความยากที่จะให้บรรลุเป้าหมายตามแผน

                    ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าการศึกษายังไม่สามารถช่วยให้ประชาชนบางส่วนมีความรู้ มีความสามารถและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ รวมถึงการพัฒนาจิตใจและจิตสำนึกในความเป็นคนดีได้ และเด็กและเยาชนส่วนหนึ่งต้องออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงานทำงานในสถานประกอบการทั้งๆที่ไม่มีทักษะฝีมือในการทำงาน และอีกส่วนหนึ่งปฏิเสธระบบการศึกษา ไปอยู่ในสถานที่

สุ่มเสี่ยงต่อการสร้างปัญหาทางสังคมตามมา

                    สำนักงาน กศน. มีบทบาทในการพัฒนาประชาชนที่อยู่นอกระบบโรงเรียน จึงหามาตรการที่จะทำให้การจัดการศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนามนุษย์ได้อย่างแท้จริง และสามารถยกระดับการศึกษาของแรงงานดังกล่าว เพื่อให้จำนวนประชากรของชาติมีระดับการศึกษาเฉลี่ยสูงขึ้น โดยจะนำหลักการและแนวคิดในการจัดการศึกษานอกระบบมาใช้ให้เป็นรูปธรรม หลักการและแนวคิดดังกล่าวมีด้วยกัน 5 ประการ คือ

1) หลักความเสมอภาค 2) หลักการพัฒนาตนเองและการพึ่งตนเอง 3) หลักการบูรณาการกับวิถีชีวิต 4) หลักความสอดคล้อง 5) หลักการเรียนรู้ร่วมกันและการมีส่วนร่วมของชุมชนสังคม โดยจะปรับปรุงหลักเกณฑ์การดำเนินงานการศึกษานอกระบบขั้นพื้นฐานในบางเรื่อง ให้สามารถดำเนินการเพื่อยกระดับการศึกษาของประชากรไทยให้ได้ และมุ่งจัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ของประชาชน ชุมชนและสังคม ยึดผู้เรียนเป็นเป้าหมาย โดยจะจัดให้มีโปรแกรมการเรียนที่หลากหลาย สอดคล้องกับการทำงาน การประกอบอาชีพของผู้เรียนเพื่อพัฒนาและยกระดับการทำงาน และการประกอบอาชีพของตนเอง หรือต่อยอดการงานอาชีพ ด้วยแนวคิดและความจำเป็นดังกล่าว จึงปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

 

วัตถุประสงค์

1.       เพื่อพัฒนาการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและบริบทของชุมชน สังคมมากยิ่งขึ้น

          2. เพื่อเร่งรัดการยกระดับปีการศึกษาเฉลี่ยของประชาชน

         

 หลักเกณฑ์การดำเนินงานที่ปรับปรุง

เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

พุทธศักราช 2551 บรรลุตามหลักการของหลักสูตรมากยิ่งขึ้น จึงปรับปรุงและเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การดำเนินงาน

ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

 

1. โครงสร้างหลักสูตร

โครงสร้างหลักสูตร

หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ที่

สาระการเรียนรู้

จำนวนหน่วยกิต

ประถมศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น

มัธยมศึกษาตอนปลาย

วิชาบังคับ

วิชาเลือก

วิชาบังคับ

วิชาเลือก

วิชาบังคับ

วิชาเลือก

1

ทักษะการเรียนรู้

5

 

5

 

5

 

2

ความรู้พื้นฐาน

12

 

16

 

20

 

3

การประกอบอาชีพ

8

 

8

 

8

 

4

ทักษะการดำเนินชีวิต

5

 

5

 

5

 

5

การพัฒนาสังคม

6

 

6

 

6

 

รวม

36

12

40

16

44

32

48 นก.

56 นก.

76 นก.

กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต

200 ชม.

200 ชม.

200 ชม.

 

โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คงใช้

โครงสร้างเดิม แต่จะปรับรายละเอียดภายใน ซึ่งไม่กระทบต่อมาตรฐานและสาระการเรียนรู้ในหลักสูตร ดังนี้

1.1   วิชาบังคับ

1.1.1 ปรับเนื้อหาบางรายวิชาให้มีความทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง

1.1.2 วิเคราะห์เนื้อหาที่ต้องรู้ในรายวิชาบังคับ และจัดทำสื่อเผยแพร่ให้สถานศึกษาและผู้เรียนนำไปใช้ในการเรียน

               1.2 วิชาเลือก วิชาเลือกจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ วิชาเลือกบังคับ และวิชาเลือกเสรี โดยกำหนดสัดส่วนดังนี้

ที่

สาระการเรียนรู้

จำนวนหน่วยกิต

ประถมศึกษา

มัธยมศึกษาตอนต้น

มัธยมศึกษาตอนปลาย

เลือกบังคับ

เลือกเสรี

เลือกบังคับ

เลือกเสรี

เลือกบังคับ

เลือกเสรี

1

ทักษะการเรียนรู้

-

 

-

 

-

 

2

ความรู้พื้นฐาน

2

 

3

 

3

 

3

การประกอบอาชีพ

-

 

-

 

-

 

4

ทักษะการดำเนินชีวิต

2

 

3

 

3

 

5

การพัฒนาสังคม

-

 

-

 

-

 

รวม

4

8

6

10

6

26

12 นก.

16 นก.

32 นก.

 

1.2.1 วิชาเลือกบังคับ เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นตามนโยบายของประเทศ และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤต

ของประเทศในเรื่องต่างๆ ในช่วงแรก จะพัฒนาจำนวน  2 วิชา ทั้ง 3 ระดับ คือ วิชาพลังงานไฟฟ้า และความรู้ทาง

การเงิน

 

               1.2.2 วิชาเลือกเสรี เป็นวิชาที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นเอง โดยให้ยึดหลักการในการพัฒนา คือ

                       1) พัฒนาโปรแกรมการเรียน เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางและเป้าหมายทางการเรียนของผู้เรียน สถานศึกษาจึงต้องวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น และความสนใจของผู้เรียน เพื่อออกแบบโปรแกรมการเรียน ภายในโปรแกรมการเรียนจะประกอบไปด้วยรายวิชาต่างๆ ที่ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้

                       2) การพัฒนารายวิชาในโปรแกรมการเรียน สถานศึกษาควรดำเนินการร่วมกับผู้เรียนและภูมิปัญญา ผู้รู้ หรือผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ จัดทำโปรแกรมการเรียนและพัฒนารายวิชาต่างๆ

 

2. การจัดกระบวนการเรียนรู้

                       2.1 ครู กศน. เป็นผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเป็นรายกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย และ รายบุคคล  ( Individualized Education Program /Plan) ในขณะเดียวกันครูและผู้เรียนต้องร่วมกันในการอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์และสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน อันจะทำให้ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ

                       2.2 ผู้เรียนใช้วิธีการเรียนรู้หลายวิธีผสมกันทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การพบกลุ่ม การเข้าค่าย การสอนเสริม หรือ การเรียนโดยโครงงาน การเรียนรู้ที่หลากหลายวิธีจะต้องมีแผนการเรียนรู้ โดยครูและผู้เรียนจัดทำสัญญาการเรียนรู้ร่วมกัน และครูจะเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนและกำกับให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปตามแผนและบรรลุเป้าหมาย

 

3. สื่อ

   3.1 สื่อวิชาเลือกบังคับกลุ่มพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจัดทำต้นฉบับ

                  3.2 สื่อรายวิชาเลือกเสรี สถานศึกษาจัดทำหลักสูตรรายวิชาเลือกเสรี แล้วเสนอให้คณะกรรมการของ สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจารณา ตรวจสอบสอดคล้องของรายวิชากับโปรแกรมการเรียน สอดคล้องกับมาตรฐานของกลุ่มสาระในแต่ละระดับการศึกษา จากนั้น สำนักงาน กศน.จึงขอรหัสรายวิชาเลือกจากระบบโปรแกรมรายวิชาเลือก ทั้งนี้

ไม่อนุญาตให้พัฒนารายวิชาเลือกที่เรียนได้ทุกระดับการศึกษา

        3.3 รูปแบบของสื่อ มี 2 รูปแบบ คือ แบบชุดวิชาและแบบเรียนปลายเปิดโดยให้พิจารณา

ตามธรรมชาติของวิชา    

        3.4 การจัดทำสื่อเสริมการเรียนรู้ กลุ่มพัฒนาการศึกษานอระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย และศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ร่วมกันผลิตสื่อเสริมการเรียนรู้ในเนื้อหาที่ยาก เพื่อเสริมความรู้ความเข้าใจในการเรียนรายวิชาต่างๆ

4. การวัดและประเมินผล

   การวัดและประเมินผลจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

                      4.1 วิชาบังคับ สำนักงาน กศน.กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียน เป็น 60 : 40 โดยวัดผลในเนื้อหาที่ต้องรู้ และจัดทำ Test Blueprintเฉพาะเนื้อหาที่ต้องรู้ Test Blueprint  ดังกล่าว จะสอดคล้องกับการสอบ N-net ด้วย

                      4.2 วิชาเลือกบังคับ กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคและปลายภาค คือ 60 : 40 โดยกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำ Test Blueprint และจัดทำแบบทดสอบ ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

             4.3 วิชาเลือกเสรี สถานศึกษาปรับปรุงระเบียบสถานศึกษาว่าด้วยการวัดและประเมินผล

การเรียน โดยเพิ่ม เกณฑ์การวัดและประเมินผล

 

5. การเทียบโอนผลการเรียน

    สำนักงาน กศน. มีนโยบายให้ดำเนินการเทียบโอนผลการเรียนโดยใช้วิธีการต่าง ๆ คือ

5.1   ปรับแนวทางการเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างๆ ของการศึกษาในระบบให้สามารถ

เทียบโอนเข้าสู่การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

5.2   พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนกลุ่มอาชีพ เช่น กลุ่มอาชีพนวดแผนไทย กลุ่มอาชีพพนักงาน

รักษาความปลอดภัย เป็นต้น

5.3   พัฒนาเกณฑ์การเทียบโอนจากหลักฐานการประเมินมาตรฐานวิชาชีพ ที่หน่วยงานต่างๆ เป็นผู้

ประเมิน เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ หรือกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา  ที่มีระบบการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพให้กับผู้ประกอบอาชีพ เพื่อมาจัดทำหลักเกณฑ์การเทียบโอนคุณวุฒิวิชาชีพต่างๆเหล่านี้ร่วมกัน

6. แผนการลงทะเบียนเรียน 4 ภาคเรียน

    การลงทะเบียนเรียนในช่วงแรก สำนักงาน กศน.กำหนดแผนการลงทะเบียนให้เป็นแนวเดียวกัน

สำหรับผู้เรียนที่ขึ้นทะเบียนเป็นนักศึกษาในภาคเรียนที่ 1/2559  ตัวอย่างแผนการลงทะเบียนเรียน





 



1. นโยบายด้านการศึกษานอกระบบ

   1.1  จัดและสนับสนุนการศึกษานอกระบบตั้งแต่ประถมวัยจนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักสูตร 2 ปี)

                 1)  พัฒนาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถนำสาระการเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ได้จริงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวม  และสร้างเสริมสมรรถนะการประกอบอาชีพที่สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคง

                 2)  ดำเนินการให้ผู้เรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษขั้นพื้นฐานได้รับการสนับสนุนค่าจัดซื้อตำราเรียน  ค่าจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน  และค่าเล่าเรียนอย่างทั่วถึง  เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับการศึกษาที่มีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

                 3)  จัดหาตำราเรียนการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพตามที่สำนักงาน  กศน. ให้การรับรองคุณภาพให้ทันต่อความต้องการของผู้เรียนพร้อมทั้งจัดให้มีระบบหมุนเวียนตำราเรียนเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเข้าถึงการใช้บริการตำราเรียนอย่างเท่าเทียมกัน

                 4)  ขยายการจัดการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีคุณภาพให้กับประชากรวัยแรงงานที่ไม่จบการศึกษาภาคบังคับและไม่อยู่ในระบบโรงเรียน  โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ  ด้วยวิธีเรียนที่หลากหลาย

                 5)  ส่งเสริม  สนับสนุน  และเร่งรัด  ให้ กศน. อำเภอทุกแห่งดำเนินการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์  รวมทั้งผลการเรียอย่างเป็นระบบได้มาตรฐาน  สอดคล้องกับหลักสูตร  เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง

                 6)  พัฒนาระบบฐานข้อมูลรวมของนักศึกษา  กศน.  ให้มีความครบถ้วน  ถูกต้อง  ทันสมัย  และเชื่อมโยงกันทั่วประเทศ  สามารถสืบค้นและสอบทานได้ทันความต้องการเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

                7)  จัดให้มีวิธีการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการฝึกปฏิบัติจริงเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้  รวมทั้งสามารถพัฒนาทักษะเกี่ยวกับสาระและวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                8)  พัฒนาระบบการประเมิณเพื่อเทียบระดับการศึกษาที่มีความโปร่งใส  ยุติธรรม  ตรวจสอบได้  มีมาตรฐานตามที่กำหนด  และสามรถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    1.2  การส่งเสริมการเรียนรู้

                 1)  พัฒนาระบบฐานข้อมูลผู้ไม่รู้หนังสือทั้งในระดับพื้นที่และส่วนกลางให้มีความครบถ้วน  ถูกต้อง ทันสมัย  และเป็นระบบเดียวกัน

                 2)  พัฒนาหลักสูตร  สื่อ  แบบเรียน  เครื่องมือวัดผลและเครื่องมือการดำเนินงานการส่งเสริมการรู้หนังสือที่สอดคล้องกับสภาพของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

                 3)  พัฒนาครู  กศน. และภาคีเครือข่ายที่ร่วมจัด  ให้มีความรู้  ความสามารถและทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับผู้ไม้รู้หนังสืออย่างมีประสิทธิภาพ

                 4)  ส่งเสริม  สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมส่งเสริมการรู้หนังสือ  การคงสภาพการรู้หนังสือ  การพัฒนาทักษะการรู้หนังสือ  และการพัฒนาทักษะด้านคอมพิวเตอร์พื้นฐานเพื่อเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการศึกษาและการเรียนรู้อยางต่อเนื่องตลอดชีวิตของประชาชน

                 5)  พัฒนาระบบการประเมินผลระดับการรู้หนังสือให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล

  หลักฐานการขอจบหลักสูตร

การยื่นเรื่องขอจบหลักสูตร สามารถทำได้ 2 ภาคเรียน คือ

         ภาคเรียนที่ 1 ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์

         ภาคเรียนที่ 2 ประมาณต้นเดือนกันยายน

         เมื่อนักศึกษาได้รับการอนุมัติผ่านระดับการศึกษาและจบหลักสูตรแต่ละระดับแล้ว นักศึกษาจะต้องยื่นคำร้องขอจบการศึกษาพร้อมหลักฐาน ดังนี้

1. ใบคำร้องขอจบหลักสูตร

2. รูปถ่าย 4x5 เซนติเมตร จำนวน 2 รูป สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตาดำถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เป็นรูปประเภทโพลาลอยด์

3. สำเนาทะเบียนบ้าน

4. สำเนาหนังสือสำคัญ แสดงวุฒิเดิมก่อนเข้าเรียน

5. สำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ – เปลี่ยนสกุล ใบทะเบียนสมรส (ถ้ามี) 

 

 




 

 

 

 



        
 

เน้นหนักการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นหลัก มีการพบกลุ่มเพื่อนำสิ่งที่ได้ไปศึกษาค้นคว้า แล้วมานำเสนอ อภิปราย และสรุปร่วมกันในลักษณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

รายละเอียดวิธีเรียนแบบพบกลุ่ม

การวางแผนการจัดการเรียนรู้

1. ครูและนักศึกษาร่วมกันวิเคราะห์หลักสูตร มาตรฐานและสาระการเรียนรู้แล้วจัดแบ่งเนื้อหาสาระ เป็น 3 ส่วน ดังนี้

        1.1 เนื้อหาที่ง่ายนักศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.) ตลอดสัปดาห์ต้องมีเวลาสำหรับการเรียนรู้ไม่น้อยกว่า15 ชั่วโมง (เฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง) มีการจดบันทึก เรียบเรียงความรู้นั้น ไว้เป็นหลักฐานและนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเวลาพบกลุ่ม ผู้เรียนก็ช่วยกันเรียนและเติมเต็มความรู้แก่กัน

        1.2 เนื้อหาที่ยากปานกลาง ครูและนักศึกษาต้องร่วมกันจัดแผนการเรียนรู้ โดยครูเป็นผู้สอนในแต่ละสัปดาห์

        1.3 เนื้อหาที่ยากมาก ครูและนักศึกษาร่วมกันจัดแผนการเรียนรู้ โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาสอนแทน

2. นักศึกษาและครู ร่วมกันวางแผนการเรียนรู้ตลอดภาคเรียนและนักศึกษาจะต้องจัดทำแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองทุกสัปดาห์ตลอดภาคเรียน

3. นักศึกษาและครูร่วมกันวางแผนการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกกิจกรรมตลอดภาคเรียน


การจัดกระบวนการเรียนรู้

          1. กิจกรรมพบกลุ่ม (พก.) นักศึกษาต้องมีเวลาพบกลุ่มอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อ สัปดาห์

          2. การเรียนรู้ต่อเนื่อง (กรต.) นักศึกษาต้องมีเวลาในการเรียนรู้ด้วยตนเอง  อย่างน้อย 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือวันละ 3 ชั่วโมง

          3. การทำโครงงาน นักศึกษาต้องเรียนรู้โดยการทำโครงงาน อย่างน้อย 3 หน่วยกิต ตลอดหลักสูตร ผู้เรียนจะต้องรวมกลุ่มกันประมาณ 5-7คน โดยร่วมกันคิดวิเคราะห์ว่าจะทำโครงงานใดในรายวิชานั้น วางแผนและลงมือปฏิบัติ นำเสนอความก้าวหน้าของการทำโครงงานในการพบกลุ่มเป็นระยะ ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเกิดความคิดต่อยอดเพื่อนำไปพัฒนาโครงงานอย่างต่อเนื่องทุกกลุ่มจนสิ้นสุดภาคเรียน

          4. การจัดการเรียนรู้โดยการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้โดยกระบวนการพบกลุ่ม และเป็นเงื่อนไขของการจบหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนทุกระดับ เป็นกิจกรรมกลุ่มผู้เรียนทำตามความสนใจความถนัด โดยเน้นการนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษา / เรียนรู้ ไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงเพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม มีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ระเบียบวินัยความรับผิดชอบ การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ซึ่งผู้เรียนจะทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตในภาคเรียนใด ภาคเรียนหนึ่งก็ได้ และสามารถทำร่วมกับผู้เรียนในระดับการศึกษาอื่น โดยทำให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด

 

การลงทะเบียน

         1. ระดับประถม นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้ภาคเรียนละ 14 หน่วยกิต โดยลงทะเบียนในกลุ่มรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือกตามที่สถานศึกษากำหนด โดยยกเว้นรายวิชาที่นำมาเทียบโอนผลการเรียน

         2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น  นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้ภาคเรียนละ 17 หน่วยกิต โดยลงทะเบียนในกลุ่มรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือกตามที่สถานศึกษากำหนด โดยยกเว้นรายวิชาที่นำมาเทียบโอนผลการเรียน

         3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย นักศึกษาสามารถลงทะเบียนได้ภาคเรียนละ 23 หน่วยกิต โดยลงทะเบียนในกลุ่มรายวิชาบังคับและรายวิชาเลือกตามที่สถานศึกษากำหนด โดยยกเว้นรายวิชาที่นำมาเทียบโอนผลการเรียน

          * ยกเว้นวิชาภาคเรียนสุดท้ายสามารถลงเพิ่มได้จำนวน 3 หน่วยกิต ทุกระดับ ส่วนในรายวิชาที่ได้ผลการเรียนเป็น " 0 " หรือรายวิชาที่เรียนเพิ่มเติม ทั้งนี้ไม่นับรายวิชาที่เทียบโอนผลการเรียนและที่ลงทะเบียนปกติ

          4. การลงทะเบียนกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต นักศึกษา ต้องลงไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่นักศึกษาจะต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด จึงจะได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการเรียนได้

          5. การลงทะเบียนรักษาสภาพ กรณีนักศึกษาไม่สามารถลงทะเบียนเรียน ในภาคเรียนใดภาคเรียนหนึ่งได้จะต้องลงทะเบียนรักษาสภาพการเป็นนักศึกษา หากไม่สามารถลงทะเบียนรักษาได้ ต้องลงทะเบียนย้อนหลังทุกภาคเรียนที่ไม่ได้ลงทะเบียนทั้งนี้ต้องไม่เกิน 6 ภาคเรียนติดต่อกัน และต้องเป็นไปตามวัน เวลา วิธีการที่สถานศึกษากำหนด

 

ระยะเวลารับสมัคร

         กศน.อำเภอสิงหนครจะประกาศเปิดรับสมัครและลงทะเบียนเรียนปีละ 2 ครั้งในช่วงเวลา

                   ภาคเรียนที่ 1 รับสมัครเดือน เมษายน  เปิดภาคเรียน 16 พฤษภาคมของทุกปี

                   ภาคเรียนที่ 2 รับสมัครเดือน ตุลาคม  เปิดภาคเรียน 16 พฤศจิกายนของทุกปี

          วันปิดภาคเรียนเดือนเมษายนและเดือนตุลาคม ของทุกปี

          จัดกระบวนการเรียนการสอนหรือนักศึกษาต้องมาพบกลุ่ม 18 ครั้ง สัปดาห์ละ 1 ครั้ง นักศึกษาต้องมีเวลาพบกลุ่มไม่น้อยกว่า 80 % ขาดเรียนได้ไม่เกิน 4 ครั้ง จะทำให้หมดสิทธิ์สอบ

          เวลาเรียนแบ่งการเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียน ภาคเรียนละ 20 สัปดาห์ โดยกำหนดให้ทุกระดับ ต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่า 4 ภาคเรียน หรือ2 ปี ยกเว้น ผู้ที่มีเทียบโอนผลการเรียนสามารถจบก่อน 4 ภาคเรียน

 

หลักฐานการรับสมัคร

         1. ใบสมัคร

         2. รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป หน้าตรงไม่สวมแว่นตาดำ ไม่สวมหมวก และสวมเสื้อสีขาวมีปก

         3. สำเนาทะเบียนบ้านพร้อมตัวจริง

         4. สำเนาหนังสือแสดงวุฒิ พร้อมฉบับจริง

         5. สำเนาบัตรประชาชน พร้อมฉบับจริง

 

สถานที่รับสมัคร

         - ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอสิงหนคร

 

         - กศน.ตำบล ทุกตำบล

 


       
       
   เป็นการประเมินจากความรู้ ทักษะ ผลงาน ประสบการณ์จากแฟ้มสะสมผลงาน 3 ด้าน (ด้านการพัฒนาอาชีพ  ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต  ด้านการพัฒนาสังคมและชุมชน)  การสอบ ปฏิบัติ สัมภาษณ์ และทำกิจกรรมเข้าค่ายหรือกิจกรรม กพช. (กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต)

 

การเทียบโอนการศึกษา

          ตามเจตนารมณ์ ของ พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กำหนดรูปแบบ การศึกษาไว้ 3 รูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งประชาชนจะเลือกรูปแบบใดก็ได้ และสามารถนำผลการเรียน มาเทียบโอน

          การเทียบโอนผลการเรียน หมายถึง การนำผลการเรียนซึ่งเป็นความรู้ ทักษะ และ ประสบการณ์ของผู้เรียนที่เกิดจากการศึกษา ทั้ง 3 รูปแบบ มาประเมินเป็นส่วนหนึ่ง

 

ขอบข่ายการเทียบโอนผลการเรียน

1. การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ และ การศึกษานอกระบบ

2. การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษานอกระบบที่จัดเป็นหลักสูตรเฉพาะ

3. การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศ

4 . การเทียบโอนประสบการณ์ กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น ทหารกองประจำการ อาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำท้องถิ่น เป็นต้น

5. การเทียบโอนผลการเรียนจากการเรียนรู้ ในกิจกรรมพัฒนาอาชีพ

 

วิธีการเทียบโอนผลการเรียน

1. การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ และ การศึกษานอกระบบ

2. การเทียบความรู้และประสบการณ์

 

การเตรียมตัวของผู้ต้องการเทียบโอนผลการเรียน

1. จัดเตรียมเอกสารทางการศึกษา เป็นใบ ป.05 รบ. 1 ต และใบประกาศจากกระทรวงศึกษาธิการ

2. จัดเตรียมเอกสารการเทียบโอน ใบ สด.8 , บัตรประจำตัวอาสาสมัครสาธารณสุข

3. หลักฐานอื่นๆ แฟ้มสะสมงาน

 



        ปัจจุบันมีประชากรจำนวนมากมายของประเทศที่ยังขาดโอกาสทางการศึกษาปัจจัยและเหตุผลหลายประการ อาทิ ปัญหาด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมและความไม่พร้อมของครอบครับ ประชากรอายุ 13-18 ปี ขาดโอกาสการเรียนรู้ถึงร้อยละ 35 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญของประเทศที่ทำงานอยู่ในภาคเกษตร อุตสาหกรรม และสาขาการบริการ ประชากรเหล่านี้มีความรู้ มีประสบการณ์จากหน้าที่การงานที่สามารถเลี้ยงชีพได้ แต่ยังขาดความรู้พื้นฐานในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ม.6) ประชากรเหล่านี้จึงต้องได้รับการประกันโอกาสทางการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน 

 

 

 

 

สถานที่รับสมัคร

          - ศูนย์ กศน. อำเภอสิงหนคร  อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา  โทร 074-332493

          - กศน.ตำบล หัวเขา  และ กศน.ทุกตำบล

คุณสมบัติของผู้สมัคร

        1. มีสัญชาติไทย

        2. มีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปี บริบูรณ์ นับถึงวันที่สมัครรับการประเมิน 

        3. มีพื้นความรู้ไม่ต่ำกว่าการศึกษาระดับประถมศึกษา 

        4. ไม่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ที่กำลังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาในระบบหรือการศึกษานอกระบบที่แบ่งระดับเช่นเดียวกับการศึกษาในระบบ

        5. มีประสบการณ์การประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งไม่น้อยกว่า 3 ปี 

        6. ต้องประกอบอาชีพอยู่ในเขตบริการของสถานศึกษาที่จะสมัครเข้ารับการประเมิน 

 

ระยะเวลาการสำเร็จการศึกษา 

        เป็นไปตามศักยภาพของผู้เข้ารับการประเมิน อาจใช้เวลามากหรือน้อยกว่า 8 เดือนก็ได้  

 

วิธีการประเมิน

        1. ประเมินผลเป็นรายวิชา แบ่งออกเป็น 2 ภาค

                  1.1 ภาคทฤษฎี ร้อยละ 70 ต้องสอบได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ประเมินด้วยแบบทดสอบความรู้

                  1.2 ภาคประสบการณ์ ร้อยละ 30 ประเมินด้วยการปฏิบัติจริง และหรือสัมภาษณ์ และหรือชิ้นงาน และหรือแฟ้มประมวลประสบการณ์

        2. เกณฑ์การผ่าน

                  การประเมินแต่ละรายวิชา ต้องได้คะแนนภาคทฤษฎีและภาคประสบการณ์รวมกันไม่น้อยกว่า ร้อยละ 60

       >>>ประเมิน 9 รายวิชา

                 Module 1 เครื่องมือสร้างความรู้ความสำเร็จ

                       1. การใช้คอมพิวเตอร์

                       2. คณิตซาสตร์ในชีวิตประจำวัน

                       3. การบริหารธุรกิจ SMEs

                 Module 2 พัฒนาองค์กรชุมชนเข้มแข็ง

                       4. ระบบอบประชาธิปไตย

                       5. การบริหารจัดการชุมชน

                 Module 3 การสื่อสาร

                       6. การสนทนาภาษาอังกฤษ/จีน

                       7. ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

                 Module 4 วิจัยชุมชน และทั่วไป

                       8. การวิจัยชุมชน

                       9. การจัดการอาหารเพื่อครอบครัว และชุมชน



เข้าชม : 642
 
 
สกร.ตำบลรำแดง หมู่ที่ 2 วัดห้วยพุด ตำบลรำแดง
  อำเภอสิงหนคร  จังหวัดสงขลา  90280  โทรศัพท์ 089-6574650 0939644354


Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.05