อ่านบทความนี้แล้วเห็นว่ามีประโยชน์และทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน จึงได้นำมาให้ทุก ๆท่านได้อ่านเพื่อนำไปปฏิบัติกันเพื่อป้องกันโรคหวัดครับ
ช่วงนี้โรคที่ฮิตสุดๆ เรียกว่าเป็นเทรนด์หน้าฝนก็คือ "โรคไข้หวัด" โดยเฉพาะ "โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" ที่ใครๆ ก็กลัวและระมัดระวังกันอย่างเต็มที่ ซึ่งโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 นี้ เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิด เอ เอช1 เอ็น1 (A/H1N1) ซึ่งมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และสามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการไอหรือจามรดกันโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางมือที่สัมผัสสิ่งของปนเปื้อนเชื้อโรคนั่นเอง
สำหรับอาการของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองก็คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก และอาจมีอาการอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย โดยในรายที่มีอาการรุนแรง จะมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยเนื่องจากปอดอักเสบ กระทั่งอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที 1. ล้างมือบ่อยๆ
สิ่งของต่างๆ ในชีวิตประจำวันเรานั้น ล้วนเต็มไปด้วยเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นลูกบิดประตู ก๊อกน้ำ ราวบันได เป็นต้น ดังนั้น เราจึงควรล้างมือกันบ่อยๆ โดยศูนย์วิจัยสุขภาพของกองทัพสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาโดยให้อาสาสมัครจำนวน 40,000 คน ล้างมือวันละ 5 ครั้ง พบว่า คนกลุ่มนี้ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจลดลงร้อยละ 45
ทั้งนี้ อย่าเพิ่งวิตกกังวลกันมากเกินไปทางที่ดี เรามาเรียนรู้วิธีป้องกันตนเองให้ปลอดภัย ห่างไกลจากโรคไข้หวัด และโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กันดีกว่า โดยต่อไปนี้ คือแนวทางปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองให้ห่างไกลโรค...
2. พกเจลล้างมือฆ่าเชื้อติดตัว
การพกเจลล้างมือติดตัวจะช่วยให้มือน้องๆ สะอาดด้วยวิธีที่ง่ายดายและสะดวกสุดๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยขณะนี้ ทางกองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนด้วยการติดตั้งโต๊ะให้บริการเจลล้างมือไว้ตามห้างสรรพสินค้าและสถานที่สำคัญอีกด้วย
3. เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกสามเดือน
แปรงสีฟันนอกจากจะช่วยทำความสะอาดฟันของเราแล้วยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีอีกด้วย ทันตแพทย์จึงแนะนำให้น้องๆ หมั่นเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือน และหลังแปรงฟันเสร็จควรเก็บแปรงไว้ในที่อากาศถ่ายเท เพื่อให้ขนแปรงแห้งสนิทไม่เป็นแหล่งบ่มเพาะเชื้อโรค และจะดีที่สุด หากน้องๆ เปลี่ยนแปรงทุกครั้งหลังป่วยเป็นไข้หวัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
4. อย่าโทษตนเอง
"ความเครียด" ก็เป็นต้นเหตุสำคัญของอาการป่วยเป็นไข้หวัด โดยนักวิจัยพบว่า คนที่ขาดความมั่นใจ ชอบโทษตนเอง หรือมีทัศนคติไม่ดีที่ก่อให้เกิดอาการเครียดนั้น จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ลง ทำให้เราป่วยง่ายขึ้นด้วย
5. ออกกำลัง
การออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเราได้มากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลยถึงสามเท่า และอย่าลืมว่า... การออกกำลังกายไม่ได้ช่วยเรารอดพ้นจากอาการไข้หวัดเท่านั้น แต่ยังสร้างถูมิคุ้มกันให้เราปลอดภัยจากโรคต่างๆ ได้อีกมากมายทีเดียว
6. กินอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนเพียงพอ
เรารู้ดีว่า อะไรบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเรา แต่ช่วยไม่ได้ ที่เรามักขาดความเข้มงวดกับตนเอง จึงทำให้เผลอกินของไม่มีประโยชน์อยู่บ่อยๆ ต่อไปนี้ ต้องมีระเบียบวินัยกับตนเอง หันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกินให้มากขึ้น โดยเฉพาะน้องๆ ที่ไม่ชอบกินผัก มาเริ่มกันวันนี้เลยดีกว่า และที่สำคัญ น้องๆ ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำสะอาดมากๆ ด้วย
7. ใช้แขนหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปากทุกครั้งที่ไอหรือจาม
"การใช้มือปิดปากหรือจมูกในขณะที่ไอหรือจามเป็นวิธีที่ผิด" นั่นเพราะว่าเชื้อโรคจะกระจายอยู่เต็มมือ (ซึ่งน้องๆ ไม่ค่อยล้างมือ) และสามารถแพร่ไปยังผู้อื่นได้ง่ายอีกด้วย วิธีที่ถูกคือ หากไม่สามารถคว้ากระดาษเช็ดหน้ามาปิดได้ทัน ให้น้องๆ งอข้อศอกขึ้นปิดปากและจมูก แน่นอนว่า... คงไม่มีใครใช้ข้อศอกถูดวงตาหรือสัมผัสมือผู้อื่น
8. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยเป็นไข้หวัด
ถึงจะไม่รู้ว่าป่วยอยู่ขั้นไหนก็ตาม แต่เมื่อไรที่พบเห็นผู้ป่วยมีอาการไอ จาม น้ำมูกไหลล่ะก็ น้องๆ ควรพยายามอยู่ห่างๆ ไม่ไปคลุกคลีด้วย (ไม่ถึงขนาดรังเกียจกันนะคะ) โดยเฉพาะน้องๆ ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ติดโรคง่ายยิ่งควรต้องระวังเป็นพิเศษ
9. ไม่ควรอยู่ในสถานที่แออัด หรือที่ชุมนุมชน
ตามที่ได้มีการประกาศออกมาให้ระวังสถานที่ต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือแม้แต่ในโรงเรียนที่มีผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นต้น ว่าควรหลีกเสี่ยงสถานที่ดังกล่าว หรือต้องมีการปิดสถานที่เพื่อทำความสะอาด ดังนั้น น้องๆ ควรระมัดระวังตนเองให้ดีนะคะ รวมทั้งใครที่ป่วยอยู่ ก็ควรหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้าน ไม่ควรไปในสถานที่ดังกล่าวเช่นกัน
10. สวมหน้ากากอนามัย
ในต่างประเทศ เรามักจะพบผู้ป่วยเป็นไข้หวัดสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปยังบุคคลอื่น ทว่าในบ้านเรา... คนปกติที่ร่างกายแข็งแรง กลับต้องสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตนเอง ด้วยเหตุนี้ น้องๆ ที่มีอาการป่วยก็ควรรับผิดชอบต่อสังคมโดยการสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องการการแพร่กระจายของเชื้อโรค หรือป้องกันการติดเชื้อ เมื่อจำเป็นต้องอยู่ในที่ชุมนุมชน ที่ผู้คนแออัด และอากาศถ่ายเทไม่สะดวก นอกจากนี้ กระดาษเช็ดน้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย ก็ควรทิ้งในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิดด้วย
แม้ว่าไข้หวัดจะไม่ได้อันตรายถึงชีวิต รวมทั้งไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็สามารถรักษาหายได้ แต่โรคเหล่านี้ นอกจากจะติดต่อกันง่ายแล้ว ยังบั่นทอนภูมิคุ้มกันร่างกายของเราอีกด้วย ทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ เช่น หลอดลมอักเสบ ทางเดินหายใจอักเสบ เป็นต้น ดังนั้น ใครที่สงสัยว่าจะป่วยเสียแล้ว ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา และหากสังเกตตนเองพบว่า ป่วยเป็นไข้หวัดเฉลี่ยปีละสองครั้ง ก็นับว่ามีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนแล้วล่ะ ด้วยเหตุนี้การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยนอกจาก 10 วิธีนี้แล้ว ใครจะไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคเพิ่มเติมก็ไม่ว่ากัน
...อ่านจบแล้ว ก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติเพื่อดูแลตนเองและคนใกล้ชิด แล้วก็อย่าลืมบอกต่อไปยังเพื่อนๆ ด้วยและขอขอบคุณเจ้าของบทความนี้ด้วยครับ