3 เหตุผล ที่การทำงานแบบ การทำงานทางไกล (Remote Working ) จะถูกผสานเข้าเป็นวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรยุคใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ…
3 เหตุผลที่การทำงานแบบ Remote Working กลายเป็นวิถีการทำงานยุคใหม่
ช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID–19 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ ที่ต้องดิ้นรนหาหนทางหรือวิธีการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมๆ เพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไป ดังนั้นจึงได้เห็นการทำงานที่บ้าน (Work from Home)
และการทำงานทางไกล (Remote Working) เกิดขึ้น ซึ่งการทำงานทางไกลนั้น ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เพียงแต่ก่อนหน้าอาจจะยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่เมื่อสถานการณ์ COVID–19 เกิดขึ้น การทำงานทางไกลจึงถูกหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นมาตรการสำคัญ
โดยหากยังอยู่ในภาวะปกติวัฒนธรรมการทำงานของแต่ละองค์กรจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย แต่ด้วย COVID–19 ทำให้ทุกคนจำเป็นต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือการเว้นระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing)
การทำงานทางไกลจึงเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากที่สุดและยังสามารถตอบโจทย์ธุรกิจไม่ให้เกิดการชะงักได้นั่นแสดงว่า COVID–19 คือ ตัวเร่งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดเร็วขึ้น รวมถึงเร่งให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านวิถีการทำงานขององค์กรธุรกิจ
และยังมีอีก 3 เหตุผลที่ตอกย้ำให้เชื่อได้ว่า การทำงานทางไกลจะถูกผสานเข้าเป็นวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรยุคใหม่
เหตุผลข้อแรก คือ วิธีคิดและรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นมิลเลนเนียล (millennials) นั้น แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน ชาวมิลเลนเนียล คือ ผู้ที่เกิดในระหว่างปี พ.ศ. 2523 – 2543 ปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังเติบโตและกลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในองค์กรธุรกิจ
ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบริษัท และพวกเขานี่เองที่จะเป็นกลุ่มผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำงาน โดยจากผลศึกษาของมหาวิทยาลัย Bentley พบว่า 77% ของคนยุคมิลเลนเนียล มีความคิดว่า ชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นจะทำให้งานของพวกเขามีประสิทธิผลมากขึ้น
ซึ่งองค์กรโดยทั่วไปจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานหากมีพนักงานมากกว่า 1 ใน 3 ต้องการความเปลี่ยนแปลงนั้น และเมื่อนำมาประกอบกับแนวทางการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ปรารถนาจะเดินทางและสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ มากขึ้น ก็จะทำให้เข้าใจได้ดีว่า
ทำไมพวกเขาเหล่านี้จึงต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งเป็นความยืดหยุ่นทั้งในเรื่องของเวลา และสถานที่ นั่นทำให้คนทำงานรุ่นใหม่ในปัจจุบันบอกได้ชัดเจนถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการในเวลานี้ ก็คือตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นมากกว่าเดิมซึ่ง LARK จะเข้ามามอบประสบการณ์การทำงานที่ยืดหยุ่น
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่เพื่อให้ทำงานจากที่ไหน และเวลาใดก็ได้ และด้วยชุดเครือมือการทำงานร่วมกันนี้ ยังช่วยให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ กระชับและฉับไว ไม่ว่าจะเป็นการแชทผ่าน LARK Messenger ที่ถูกออกแบบมา
เพื่อให้การสื่อสารภายในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึง LARK Docs ที่เป็นมากกว่าพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ แต่ยังเป็นเครื่องมืออัจฉริยะสำหรับการสร้าง แก้ไข และแบ่งปันข้อมูลเอกสารในการทำงานร่วมกัน
เหตุผลข้อที่สอง คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้การใช้ชีวิต และการทำงานง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยพัฒนาการทางเทคโนโลยีล่าสุด ไม่ว่าจะด้วยระบบอัตโนมัติ หรือหุ่นยนต์ ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงจากการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจฐานบริการไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้
เห็นได้จากการเติบโตทางเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เจ้าอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่เก็บไว้ในกระเป๋าอย่างโทรศัพท์มือถือสามารถส่งข้อมูลต่าง ๆ ได้ภายในเสี้ยววินาที และทำให้ตระหนักดีอีกว่า อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้น และเสถียรขึ้น ได้กลายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนบนโลกแม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลสุดก็ตาม
อินเทอร์เน็ตที่เร็วขึ้น และเสถียรขึ้นนั้นยังส่งผลให้การทำงานทางไกลสะดวก และง่ายมากขึ้น และเมื่อใช้เครื่องมือดิจิทัลอย่าง LARK จะทำให้การประชุมทางไกลเป็นไปอย่างราบรื่น โดย LARK คือ ชุดโปรแกรมรองรับการทำงานร่วมกันผ่านระบบดิจิทัลที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นๆ ร่วมกันได้อีกมากมาย
เช่น สามารถแบ่งปันเนื้อหาที่แก้ไขได้ในระหว่างการโทร หรือการปรับรูปแบบของข้อมูลอัตโนมัติสำหรับหน้าจอมือถือ นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะทำให้ประสบการณ์การทำงานทางไกลสะดวกและสนุกสนานมากขึ้น ทั้งทำให้เชื่อด้วยว่า สำนักงานในอนาคตอาจจะอยู่ในรูปแบบเสมือนจริง (virtual) เท่านั้น เมื่อมีเครื่องมือดิจิทัลที่ให้ฟังก์ชั่นครบครัน ไม่ว่าพนักงานจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงได้ทุกที่
และเหตุผลข้อสุดท้าย คือ โลกไร้พรมแดน ซึ่งเราได้เรียนรู้เมื่อไม่นานมานี้ถึงความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างกันบนโลกใบนี้ และในความเป็นจริง เรายังพบด้วยว่า บริษัทระดับโลกได้ใช้ระบบการทำงานทางไกลกันมาหลายทศวรรษแล้ว เพราะบริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้มักจะมีทีมงานกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของโลก เช่น บริษัทในสิงคโปร์ หากมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค ก็จะเน้นใช้การทำงานทางไกลเป็นหลัก เป็นต้น
สำหรับบริษัทที่ขยายธุรกิจ และเครือข่ายสาขาออกไปทั่วโลกนั้น เครื่องมือดิจิทัลที่เป็นโซลูชันการทำงานในรูปแบบ All–in–One สำหรับธุรกิจอย่าง LARK จะเป็นประโยชน์มาก ด้วยคุณลักษณะที่โดดเด่น เช่น ฟีเจอร์ Calendar สามารถเพิ่ม Time zone ได้
ช่วยให้ทราบถึงเวลาการทำงานที่ตรงกับเวลาท้องถิ่นของสำนักงานใหญ่อยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ยังมีระบบแปลภาษาอัตโนมัติในตัว ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ร่วมงานที่อยู่ต่างถิ่นกันได้ดีเยี่ยม แม้ว่าแต่ละคนจะสื่อสารด้วยภาษาแม่ของตนเองก็ตาม
รวมทั้งช่วยให้การกำหนดเวลาการประชุมทางวิดีโอกับเพื่อนร่วมงานที่ลอนดอน มุมไบ หรืโตเกียว เป็นเรื่องง่ายมากขึ้น และยังช่วยให้สามารถรับข้อมูล และอ่านข้อมูลเดียวกันได้
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าในอนาคตอันใกล้ การทำงานทางไกลจะไม่ใช่เพียงมาตรการชั่วคราวที่หลายๆ องค์กรธุรกิจนำมาใช้รับมือกับสถานการณ์ COVID–19 เท่านั้น แต่กำลังจะกลายเป็นวัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ และ LARK จะเป็นเครื่องมือดิจิทัลที่เข้ามาตอบโจทย์การทำงานในยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเป็นยุคของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง
ส่วนขยาย * บทความเรื่องนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ในมุมมองที่น่าสนใจ ** เขียน: ชลัมพ์ ศุภวาที (บรรณาธิการ และผู้สื่อข่าว) *** ขอขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจาก www.freepik.com