…นวดให้ผอม กินให้เผาผลาญ เคล็ดลับหุ่นสวยสมส่วน… |
เรื่องของรูปร่างและสุขภาพ คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกเพศทุกวัยให้ความใส่ใจ และส่งผลให้เกิดเทรนด์การดูแลรูปร่างและการกินเพื่อสุขภาพขึ้นหลายรูปแบบ
เทคนิคการลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หรือพึ่งพาศัลยกรรม เพียงแต่ยึดหัวใจหลัก 2 ข้อ นั่นคือการรับประทานอาหารอย่างถูกวิธีหรือที่เรียกว่า “โภชนาการบำบัด” และการนวดเพื่อให้เรือนร่างเข้ารูปทรงหรือ “การปั้นแต่งเรือนร่าง” ให้สวยเหมาะสม
นวดให้ผอม เคล็ดลับเฉพาะอยู่ที่เทคนิคการนวดละลายไขมัน เป็นการนวดตามแนวกล้ามเนื้อ การไหลเวียนของโลหิต และน้ำเหลือง ช่วยให้ไขมันแตกตัว พร้อมจะนำไปเผาผลาญ คือ ทั้งยังช่วยผลักดันเนื้อที่เป็นส่วนเกินให้กลับเข้าที่ ทำให้รูปร่างมีส่วนโค้งส่วนเว้า ผิวพรรณสดใส และยังช่วยให้ทรวงอกอวบอิ่มขึ้นได้ด้วย โดยการนวนนั้นควรได้รับการนวดบ่อยครั้งในช่วงแรก แล้วจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหากนวดประมาณ 3-4 ครั้งภายใน 2 สัปดาห์
กินให้เผาผลาญ การรับประทานอาหารที่ถูกวิธีไม่ใช่การอดอาหารหรือรับประทานแบบนับจำนวนแคลอรี่ แต่ต้องเริ่มจากการเรียนรู้ระบบย่อยของอาหารแต่ละประเภท และรับประทานอาหารให้ครบ 6 หมู่ ในจำนวนที่เหมาะสมตามสัดส่วนการใช้งาน โดยเน้นให้มีปริมาณโปรตีนถึงระดับ เพราะหากน้อยไปอาจส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ไม่เต็มที่ เช่น มื้อเช้าควรรับประทานโปรตีนประมาณ ? ฝ่ามือ มื้อกลางวัน ? ฝ่ามือ มื้อเย็น 1 ฝ่ามือ หรือหากอยากรับประทานขนมเค้ก ก็เพียงตัดข้าวออกไปครึ่งหนึ่ง เพื่อแทนที่กัน เป็นต้น โดยหลักการนี้เรียกว่า “บาลานซ์ฟู้ด” หรือรับประทานให้สมดุลกับการที่ร่างกายจะนำไปใช้ และไม่เกิดการสะสม คือไปอ้วนนั่นเอง
คุณทราบไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว |
มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้ค่ะ.-
สารสีแดง มีสาร lycopene เป็นตัวพิกเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้อง กันการเกิดมะเร็งหลายชนิด
สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเร็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
สารสีเหลือง พิกเม้นต์ (Lutein) |
คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี |
หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น
สารสีเขียว พิกเม้นต์คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟิลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อคโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟิลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย
สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นตัวให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย
ทำไงดีล่ะ … เมื่ออาหารที่เราทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้าง |
ทุกวันนี้วัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร ส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้าง เช่น เนื้อสัตว์มีสารเร่งเนื้อแดง ผักมียาฆ่าแมลงและสารเร่งดอกผล เป็นต้น เพราะฉะนั้นการล้างสารพิษด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ จะทำให้เราลดปริมาณสารเคมีเหล่านี้ได้ ทำให้เราห่างไกลจากโรคภัยอีกด้วย โดยสารอาหารที่จะแนะนำในวันนี้ มีหลายสถาบันวิจัยออกมาแล้วว่าสามารถล้างสารพิษได้ ดังนี้.-
1. สารสกัดจากงาดำ |
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมสุขภาพหลอดเลือดหัวใจ ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจและต้านมะเร็ง
|
2. สารสกัดจากโรสแมรี่ |
เป็นสมุนไรที่ชาวโรมันนำมาใช้ล้างพิษตั้งแต่โบราณแล้ว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มปริมาณเอนไซม์ล้างพิษ และต้านมะเร็งในร่างกายถึง 450 เท่าของปริมาณปกติในร่างกาย
|
3. สารสกัดจากบีทรูท |
อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 บี 6 และวิตามินซี นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษที่ตับ ถุงน้ำดี ไต และเป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเลือด และลดอาการท้องผูก
|
4. สารสกัดจากชาเขียว |
ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และกำจัดสารพิษในร่างกายให้เร็วยิ่งขึ้น และยังป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร ไต ถุงน้ำดี ผิวหนังและปอด
|
5. สารกรีนบาร์เลย์ |
อุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ กรดอะมิโนและเอนไซม์บำรุงสุขภาพถึง 17 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเอนไซม์ที่สำคัญมาก ในขบวนการกำจัดอนุมูลอิสระระดับเซลล์ ที่ช่วยชะลอความเสื่อมชราของทุกอวัยวะในร่างกาย และทำให้ผิวพรรณสดใสมีชีวิตชีวาดูอ่อนวัยลง
|
6. กลุ่มวิตามินล้างพิษ |
วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 12 วิตามินบีรวมเป็นสารอาหารจำเป็น ในกระบวนการล้างพิษของร่างกายในระดับเซลล์ ของทุกๆ อวัยวะทั้งในตับ โดยทำหน้าที่เป็นโค-เอนไซม์ในปฏิกิริยาการล้างพิษ นอกจากนี้วิตามินบีรวม ยังช่วยในขบวนการเผาผลาญโปรตีนและไขมันของร่างกายอีกด้วย
|
7. สารเบต้าแคโรทีน |
วิตามินซี และอี ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษที่สะสมตามเซลล์ต่างๆ ช่วยขจัดพิษจากสารเคมีตกค้าง ช่วยเสริมภูมิต้านทานเพื่อต่อต้านสารพิษในร่างกาย
|
8. แอปเปิ้ลไฟเบอร์ |
เป็นเส้นใยธรรมชาติที่ละลายน้ำแล้วพองตัว ช่วยดูดซับไขมันคอเลสเตอรอล กลุ่มไขมัน และสารพิษ โลหะหนักที่สะสมหมักหมมอยู่ในลำไส้และขับถ่ายออก และยังช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีอีกด้วย
|
9. เมล็ดไซเลียม |
เป็นแหล่งเส้นใยธรรมชาติที่ไม่ถูกย่อยสลายจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ทำให้สารพิษที่สะสมอยู่ในลำไส้ถูกขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ชำระล้างพิษในลำไส้ใหญ่ และป้องกันโรคทางเดินอาหาร
|
10. สารสกัดจากเคลป์ |
สาหร่ายจากท้องทะเลที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำลายสารพิษต่างๆ เช่นโลหะหนักและสารกัมมันตภาพรังสี ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้
|
11. กระเจี๊ยบแดง |
อุดมไปด้วย วิตามินซี ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะคล่อง ช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดี ช่วยลดความดันเลือด มีกรดซิตริค ซึ่งเป็นสารให้ความเย็นธรรมชาติ ช่วยลดไข้ ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาการเกิดสิว และปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง มีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ช่วยป้องกันตับถูกทำลาย
|
12. ข้าวโอ๊ต |
มีสารประกอบของกรดอมิโน กรดไขมันจำเป็น วิตามินบี1 แคลเซี่ยม เหล็ก ใยอาหารที่ละลายได้(Soluble Fiber) ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ลดความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ช่วยบำรุงระบบประสาท คลายภาวะซึมเศร้า ลดอาการปวดศีรษะ อาการเหนื่อยล้า มีแคลเซี่ยม ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
|
เมล็ดพืชไม่ขัดขาว (Whole grain) มีประโยชน์ต่อหัวใจ
ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2007 มีรายงานใหม่เข้ามาว่าข้อมูลวิจัยมากมาย ได้ศึกษาวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ของข้าวไม่ขัด ผลวิจัยรายงานว่าผู้ที่กินเมล็ดพืชที่ไม่ขัดขาว มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่กิน
งานวิจัยใหม่ล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่กินเมล็ดพืชไม่ขัดสองมื้อครึ่ง จะมีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ เพียงหนึ่งในห้าของคนที่ไม่กิน ทั้งนี้วิเคราะห์จากคน 149,000 คน แต่ก็พบด้วยว่ามีน้อยคนที่ใส่ใจกับการกินอาหารที่ไม่ขัด นักวิจัยจากอเมริกาพากันลงความเห็นว่า เราต้องเพิ่มความพยายามให้หนักขึ้น ในการส่งเสริมให้ผู้ป่วยพยายามกินอาหารประเภทนี้ เพราะคนที่กินข้าวไม่ขัดขาววันละ 2.5 มื้อจะลดความเสี่ยงต่อการป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ 21%
|
ตัวเมล็ดพืชประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ส่วน คือ รำ จมูก และโภชนาสาร แต่เมล็ดพืชที่ขัดขาวจะกำจัดตัวที่เป็นรำข้าวและจมูกออกไป ซึ่งทำให้เส้นใยและคุณค่าทางอาหารหมดไป
เมล็ดพืชที่ขัดขาวไม่สามารถช่วยปกป้องหัวใจได้เลย นอกจากนี้เมล็ดพืชไม่ขัดขาวจะช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มวิตามินให้ได้หลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยหัวใจ
ตัวอย่างของเมล็ดพืชไม่ขัดขาวนั้น รวมถึงเมล็ดข้าวสาลีไม่ฟอก ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวนก ข้าวบาร์เลย์ ข้าวป่า ข้าวไรย์ ข้าวโพด บัควีท
|
เคล็ดลับในการกินเมล็ดพืชไม่ขัด
|
|
ตามคำแนะนำของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจะต้องกินเมล็ดพืชไม่ขัด ให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารที่กินในแต่ละวัน ดังนั้นมื้อต่อไปแทนที่จะกินขนมปังขาว ก็ให้กินขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ฟอก และกินข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวป่าแทนข้าวขัดขาว
|
ถ้ายังกินไม่ได้ล้วนๆ ก็ค่อยๆ ผสมในข้าวเดิมๆ ที่เราชิน แล้วเพิ่มปริมาณ นอกจากนั้นก็อาจเติมเมล็ดพืชไม่ขัดขาว เช่น ข้าวป่า ข้าวโพด ข้าวกล้อง ฯลฯ ลงในแกงจืด หรือปรุงในอาหารบางอย่างก็ได้
|
สูตรอาหาร … ซุปข้าวป่าศรีเวียง … |
ต้มน้ำเคี่ยวกระดูกไก่หรือกระดูกหมู (ถ้าเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ใส่น้ำต้มผักหรือซุปผักแทน) ใส่น้ำปลา Low Sodium (มีปริมาณเกลือต่ำ สำหรับผู้ป่วย) เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักโขม หรือบรอคโคลี่ หรือกระหล่ำปลี หรือฟักทอง หรือแครอทก็ได้ หั่นซอยเป็นชิ้นเล็กๆ อาจเติมไก่สับหรือหมูสับด้วย (เหมาะกับเด็กๆ) หรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง เติมด้วยไข่ไก่ (ถ้าผู้ป่วยมะเร็งให้ใส่เฉพาะไข่ขาว) หรือเต้าหู้ก้อน เมื่อทุกอย่างสุกแล้ว ให้ดับไฟ แล้วใส่ข้าวชงศรีเวียงลงไปคนให้ทั่ว สัก 2 ช้อนโต๊ะ เมื่อเข้ากันดีแล้ว ตักข้าวป่าที่หุงสุกแล้ว (อาจเหลือจากที่หุงรับประทานแต่ละมื้อ) คนข้าวป่าฯ เป็นเม็ดๆ ให้กระจายทั่วกัน ชิมรสที่ชอบ พร้อมเสิร์ฟได้
|