[x] ปิดหน้าต่างนี้
 
 

  

ความรู้เกี่ยวกับ IT
ปีนักษัตร ปีระกา

พฤหัสบดี ที่ 5 เดือน มกราคม พ.ศ.2560

คะแนน vote : 67  

 
ปีนักษัตร


 ปีนักษัตร หรือ นักขัต เป็นปีตามปฏิทินสุริยคติไทย
 
และชาติอื่นในเอเชีย เป็นต้นว่า จีน เวียดนาม และญี่ปุ่น แบ่งเป็นรอบปี รอบละสิบสองปี แต่ละปีกำหนดสัตว์เรียกเป็นชื่อเรียงกันไปดังนี้

ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม วอก ระกา จอ และ กุน

ปีนักษัตรจะมีสัตว์ประจำปี (อันเป็นความหมายของชื่อปีนั้น ๆ นั่นเอง) สัตว์ประจำปีนักษัตรที่นิยมใช้ในหมู่ชาวไทย มีดังนี้

ปี

ชวด

ฉลู

ขาล

เถาะ

มะโรง

มะเส็ง

มะเมีย

มะแม

วอก

ระกา

จอ

กุน

สัตว์

หนู

วัว

เสือ

กระต่าย

มังกร

งู

ม้า

แพะ

ลิง

ไก่

สุนัข

สุกร

 

 

 

 

·         สำหรับปีกุนนั้น บางชาติใช้ช้างแทนสุกร เช่นภาคเหนือของไทย 

·         สำหรับปีเถาะนั้น บางชาติใช้แมวแทนกระต่าย เช่นเวียดนาม 

·         สำหรับปีฉลูนั้น บางชาติใช้กระบือแทนวัว เช่นเวียดนาม 

·         สำหรับปีมะโรง บางชาติใช้งูใหญ่หรือพญานาคแทนมังกร เช่น ไทย 

·         สำหรับปีมะแมนั้น บางชาติใช้แกะแทนแพะ เช่นญี่ปุ่น

 

 

 

 

 ปีระกา ใช้สัญลักษณ์เป็นรูปไก่เหมือนกันหมดมีประเทศทิเบตประเทศเดียวที่ใช้เป็นรูปนก ในภาษาเขมรเรียกปีระกาว่า โรกา ไทยพายัพเรียกปีระกาว่า ปีเล้า หรือ เปิ้งไก่

                นิทานเกี่วยกับไก่ที่แพร่หลาย คือเรื่องเหตุที่ไก่ขันตอนรุ่งอรุณ มีทั้งนิทานจีนและแอฟริกัน เหมือนว่าหน้าที่ของไก่เกิดมาเพื่อขันบอกเวลาโดยเฉพาะ มีเรื่องของจังหวัดลำปางว่า ในอดีตกาลพระพุทธเจ้าเสด็จมาบรรทมที่เมืองลำปาง เมื่อจวนรุ่งอรุณก็มีไก่ขันปลุก เมืองลำปางจึงได้ใช้ตราประจำจังหวัดเป็นรูปไก่

                นอกจากไก่เมืองลำปาง ก็มีไก่ขาวเมืองหริภุญไชย ตำนานเล่าว่า เมื่อพระเจ้าอาทิตยราชได้กระทำการสักการะเทพยดาแล้ว เทพยดาก็บันดาลให้หน่อย่างทรายดำ (เป็นชื่อเถาวัลย์ป่าชนิดหนึ่ง มีใบใหญ่) งอกขึ้นเต็มบนยอดเขา และเมื่อหน่อย่างทรายเจริญวัยขึ้น ก็มีไก่ขาวตัวหนึ่งขึ้นไปอยู่บนยอดไม้ย่างทรายนั้น ไก่ขาวตัวนี้เป็นสัตว์ฉลาด มีเสียงไพเราะ เป็นไก่ลำพอง ขันทั้งสามเวลา คือ ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม ขันตอนเวลา สามทุ่ม เที่ยงคืน และตีสาม ส่วนตอนกลางวันขันยามทุกยามเหมือนกัน สมัยโบราณแบ่งเวลาเป็น ๘ ยาม ในบาลีแบ่งตอนกลางคืนมีสามยามเท่านั้นคือ ปฐมยาม มัชฌิมยาม และปัจฉิมยาม รวมเก้าชั่วโมง กลางวันมากกว่ากลางคืน ไก่ขาวตัวนี้ขันทุกยามก็หมายถึงขันวันละ ๘ ครั้ง ไก่ขาวของเมืองหริภุญไชยขยันมาก นอกจากขยันแล้วยังขันดังอีกด้วย ขันเสียงดังไปถึงเมืองละโว้ ครั้นพระเจ้าเมืองละโว้ได้ยินเสียงไก่ขาวตัวนี้ ก็เข้าใจว่าพระเจ้าอาทิตยราชจะมาจับตัวพระองค์ จึงเรียกประชุมขุนนางโหราจารย์แล้วตรัสถามว่า การที่ได้ยินเสียงไก่นั้นจะมีเหตุอันใด บรรดาอำมาตย์กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ เสียงไก่ขันนั้นรักษาเมืองหริภุญไชยอยู่ พระองค์อย่าได้ทรงหนักพระทัยเลย” แม้ว่าอำมาตย์จะกราบทูลอย่างไร พระเจ้ากรุงละโว้ก็ยังไม่คลายความหวาดกลัว คิดจะทำลายไก่ขาวตัวนั้นให้ได้ ในที่สุดก็จัดเครื่องสักการะพลีกรรมไปบูชาเทพยดาที่รักษาเมืองละโว้ ประกาศให้ไปปราบไก่ขาวเมืองหริภุญไชย

  เทพยดารักษาเมืองละโว้ได้กินเครื่องพลีแล้วจำต้องกระทำตามความประสงค์ จำแลงกายเป็นจระเข้ใหญ่ว่ายน้ำไปตามลำน้ำพิงค์ ครั้นมาถึงใกล้นครหริภุญไชยแล้ว จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์เที่ยวตามหาไก่ขาว ถือไม้เท้าขึ้นไปบนต้นย่างทราย เมื่อพบไก่ขาวก็ตีไก่ด้วยไม้เท้า ไก่ขาวถึงแก่ความตาย แล้วพราหมณ์ก็หนีกลับเมืองละโว้ไป

                 ธรรมเนียมของจีนมีของสำคัญอยู่ ๓ สิ่ง คือ หญิงสาว ไก่ขาว และไม้เท้าผีสิง ผู้หญิงมีไว้ทำไมไม่จำเป็นต้องบอก ไก่ขาวนั้นมีไว้เพื่อบอกเวลา ไม้เท้านั้นมีไว้สำหรับกันผีปีศาจหรือภยันตรายต่างๆ เวลาบิดาตายผู้เป็นลูกต้องถือไม้เท้านัน เขาว่าวิญญาณของบิดาจะสิงอยู่ในไม้เท้านั้นคอยช่วยเหลือป้องกันภัยได้

                 นอกจากไก่ขาวแล้ว จีนยังนับถือไก่แดง ชาวจีนนับถือไก่แดงว่าอาจป้องกันไฟได้ ดังนั้น ในวันขึ้นปีใหม่จึงเขียนรูปไก่แดงปิดไว้เหนือประตูบ้าน เชื่อกันว่าไก่เป็นสัตว์ที่อยู่ในดวงอาทิตย์ และเป็นเครื่องหมายของดวงอาทิตย์ ไก่จึงขันเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ถ้าไก่ตัวเมียขันแสดงว่าผู้หญิงจะเป็นใหญ่

                 การที่ภูตผีปีศาจต้องจากไปตอนพระอาทิตย์ขึ้นนั้น ก็เพราะไก่ขันขับไล่ บางทีก็จะเขียนรูปไก่ขาววางไว้บนหีบศพขระที่นำไปฝัง เพื่อเป็นการขับไล่ปีศ่จตามถนน บ่าวสาวที่แต่งงานกันจะกินน้ำตาลทรายขาวที่ทำเป็นรูปไก่ขาวในพิธีแต่งงาน

                 พวกที่เอาไก่มาเลี้ยงในบ้านคือพวกจีน จีนเลี้ยงไก่มาแต่ก่อนคริสต์ศักราชถึง ๑,๔๐๐ ปีแต่รู้จักการเอามาตีกันเมื่อ ๕๐๐ ปี ในอินเดียเลี้ยงไก่ภายหลังจีน ๔๐๐ ปี คือเริ่มรู้จักไก่ชนเมื่อเผ่าอารยันแผ่อิทธิพลเข้าไปถึงลุ่มแม่น้ำคงคา ส่วนไทยรู้จักไก่พอๆกับจีนเพราะคลุกคลีกันมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์

                 ไก่ที่ขึ้นชื่อของจีนคือ ไก่ไหหลำเป็นไก่ชั้นดี การกินไก่ของชาวไหหลำแตกต่างกับชาวแต้จิ๋ว ชาวไหหลำนิยมสับไก่ชิ้นโตๆ ทำให้ได้เนื้อมาก ส่วนชาวแต้จิ๋วนิยมสับเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ ไก่ตะเภาที่เราเลี้ยงกันได้พันธุ์มาจากเมืองจีนคือสมัยโบราณจีนเข้ามาค้าขายในไทยก็เอาไก่เลี้ยงใส่กรงมาด้วยเพื่อจะได้เป็นอาหารระหว่างทาง พวกชาวบ้านเห็นไก่สวย จึงขอซื้อไว้เลี้ยงเลยตั้งชื่อว่าไก่ตะเภาคือเอามาจากเรือตะเภาหรือสำเภา

 

 

 

 

                  พระเจ้าแผ่นดินจีนที่นิยมเลี้ยงไก่ไว้ชนคือพระเจ้าเหียนจงแห่งราชวงศ์ถัง ให้สร้างโรงไก่ขึ้นที่นครเตียงอานเก็บพวกลูกทหาร ๕๐๐ คนมาเลี้ยงดูไก่ ทำให้ขุนนางและชาวบ้านเลี้ยงไก่มากขึ้น

 

 

ไทยใช้ไทยในพิธีเซ่นพลีต่างๆหรือใช้เป็นเครื่องสังเวยเทพยดาอารักษ์ เรื่องเอาไก่เข้าในพิธีการไหว้เจ้าของจีนก็นิยมอยู่เหมือนกัน

                     ตำนานไทยใหญ่ว่า เมื่อ พ.ศ.๑๑๑๑ ขุนลูและขุนไล เป็นลูกเทวดาไต่บันไดลงมาจากสวรรค์พร้อมเทวดาอีกหลายองค์ เมื่อลงมาถึงเมืองมนุษย์ มนุษย์เห็นว่ามีรูปร่างโสภากว่าตนจึงยกให้เป็นผู้ปกครอง ครั้งนั้นมีมนุษย์คนหนึ่งชื่องลังงู มาฝากตัวเป็นคนรับใช้ขุนลู ขุนไล ตอนที่ขุนลู ขุนไลจะลงมายังเมืองมนุษย์พระเป็นเจ้าได้ประทานไก่ให้ และสั่งว่าเมื่อลงไปถึงเมืองมนุษย์ให้ฆ่าไก่สังเวยบูชา เสร็จแล้วให้พ่อขุนทั้งสองกินหัวไก่ ส่วนตัวให้แจกแก่ข้าราชการ พ่อขุนรับคำ แต่เมื่อลงมาถึงเมืองมนุษย์ปรากฏว่าลืมเอาไก่กับมีดลงมา จึงใช้ให้ลังงูขึ้นไปเอามาให้ ลังงูรู้เคล็ดลับเรื่องนี้ จึงโกหกว่าตอนที่ขึ้นไปเอา พระเจ้ากำลังโมโหหาว่าพ่อขุนเหลวไหลไม่เอาใจใส่ และสั่งมาว่า เมื่อฆ่าไก่สังเวยแล้วให้พ่อขุนกินตัวไก่ ส่วนอื่นๆแบ่งให้บริวารกิน พ่อขุนเชื่อกินแต่เนื้อไก่ ลังงูก็เลยแอบกินหัวไก่ เพราะลังงูกินหัวไก่ ได้ส่งผลให้ได้เป็นกษัตริย์ครองเมืองจีน ส่วนพ่อขุนหลงเชื่อลูกน้องเลยอับแสงไม่มีวาสนา

                    คนเราจะดีหรือเลว จะรุ่งโรจน์หรือเสื่อมโทรมก็เพราะลูกน้อง หลงเชื่อลูกน้องมักช้ำใจ

                    ตำนานเขมรเมื่อพุทธศักราช ๖๐๐ ก่อนเรื่องไทยใหญ่ ๕๑๑ ปี มีกษัตริย์เขมรสวรรคต ไม่มีราชบุตรจะสืบสันตติวงศ์ มีควาญช้างคนหนึ่งชื่อทา นำช้างไปอาบน้ำในคลอง เผอิญมีภาชนะใส่ไก่ต้มตัวหนึ่งลอยมาตรงหน้า นายทาจึงเก็บไปถวายสมภารวัด ท่านสมภารสำเร็จวิปัสสนาล่วงรู้อำนาจแห่งไก่ ท่านจึงฉันหัวไก่แบ่งเนื้ออกไก่ให้นายทากิน ให้เนื้อขาไก่แก่ภรรยาของนายทา หลังจากกินเนื้อไก่แล้วนายทาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเขมร นางวองได้เป็นอัครมเหสี

                    อาจารย์น่าจะได้เป็นกษัตริย์เพราะหัวไก่ เนื่องจากตามตำนานไทยใหญ่กินหัวไก่แล้วได้เป็นกษัตริย์ แต่อาจเป็นเพราะสรรพคุณของไก่ที่ไม่เหมือนกัน แต่ตำแหน่งสังฆราชก็อยู่ในกำมือ คือเป็นใหญ่ในทางสงฆ์เรียกว่าหัวไก่ยังให้คุณ

                   เรื่องไก่ในมงคลสูตร ในสมัยอดีตกาล มีชายคนหนึ่งอยู่ในเมืองพาราณสี วันหนึ่งออกไปเก็บฟืนในป่า กลับมาไม่ทันเวลา ประตูเมืองปิดจึงเข้าไปนอนที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ของไก่เป็นจำนวนมาก มีไก่ตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างบน ครั้นถึงเวลาใกล้รุ่งอรุณก็ถ่ายอุจจาระลงมาถูกไก่ที่นอนอยู่ข้างล่าง ไก่ตัวล่างก็ร้องถามว่า “ใครขี้รดกูว่ะ” ไก่ตัวบนตอบว่า “ฉันเองแหละ ไม่ได้ทันพิจารณาก็เลยปล่อยลงไป ขออภัยในความไม่สะดวก” พูดแล้วก็ถ่ายซ้ำลงไปอีก ไก่ตัวล่างคุยโอ้อวดว่าเนื้อตนวิเศษนัก ใครได้กินก็จะได้ทรัพย์พันหนึ่งในตอนเช้า ไก่ตัวบนคุยทับว่า “ก็เท่านั้นเอง ใครได้กินเนื้อล่ำของเราแล้วก็จะได้เป็นพระยามหากษัตริย์ ถ้าได้กินเนื้อภายนอกก็จะได้เป็นเสนาบดี ถ้าสตรีจะได้เป็นอัครมเหสี ถ้าได้กินเนื้อติดกระดูกจะได้เป็นขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นอาจารย์ของพระยา”

  ขณะที่ไก่ทั้งสองคุยโอ้อวดอยู่ คนเก็บฟืนได้ยินตลอด จึงขึ้นไปจับไก่ตัวบนฆ่าเสีย แล้วเอาไปให้ภรรยา สั่งให้ทำไก่ย่าง เมื่อภรรยาทำสุกแล้วก็นำไปให้สามี

                  “นี่ไก่ตัวนี้มีอานุภาพมากนัก” สามีบอก “เราได้กินแล้วก็จะได้เป็นพระยา เจ้าได้กินก็จะเป็นอัครมเหสี เราไปอาบน้ำชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนแล้วค่อยบริโภค”

                    สองคนพากันไปที่ท่าน้ำ วางภาชนะที่ใส่ไก่ไว้ริมท่าน้ำแล้วลงไปอาบน้ำชำระกาย ขณะนั้นได้เกิดลมพายุพัดอย่างรุนแรงทำให้เป็นคลื่นน้ำใหญ่ พัดภาชนะที่ใส่เนื้อไก่ลอยตามน้ำไป สองคนสามีภรรยาเลยไม่ได้กิน ภาชนะที่ใส่เนื้อไก่ลอยไปจนถึงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งควาญช้างกำลังให้ช้างอาบน้ำ ควาญช้างเห็นภาชนะใส่เนื้อไก่ลอยมาจึงให้คนไปเก็บมาเปิดดู เมื่อรู้ว่าเป็นเนื้อไก่ก็ส่งให้ภรรยา

                   มีพระดาบสองค์หนึ่งเป็นอาจารย์ของนายควาญช้างนั่งบำเพ็ญภาวนารู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงรีบมาที่เรือนควาญช้าง เมื่อควาญช้างเห็นอาจารย์มาเยี่ยม ก็ยกภาชนะเนื้อไก่ถวาย พระดาบสฉันเฉพาะเนื้อที่ติดกระดูกเลือกเอาเนื้อล่ำให้ควาญช้าง เนื้อภายนอกให้ภรรยา เมื่อฉันแล้วก่อนจะกลับก็บอกศิษย์ว่า “อีก ๗ วันเจ้าจะได้เป็นพระยาในเมืองนี้

                   หลังจากนั้น ๓ วันก็มีข้าศึกยกมาล้อมเมืองพาราณสี พระยาพาราณสีจึงมีรับสั่งให้ควาญช้างแต่งตัวเป็นพระยาออกไปรบแทนตน ส่วนพระองค์แปลงเป็นนายตรวจออกตรวจทหารก็เลยถูกยิงสวรรคต เมื่อควาญช้างทรงทราบข่าวก็ให้ขนทรัพย์ออกจากท้องพระคลังแล้วประกาศว่า ใครอยากได้ทรัพย์จงมารบกับข้าศึก คนทั้งหลายต่างพากันอาสาออกรบจนจับพระยาข้าศึกได้ในวันนั้น

                   เมื่อศึกสงบขุนนางต่างยกควาญช้างขึ้นเป็นพระราชา และให้ภรรยาเป็นอัครมเหสี ส่วนดาบสได้เป็นอาจารย์พระยา สมตามที่ไก่ได้คุยอวดไว้

                   ในตำราทำนายฝันยังมีเรื่องของไก่อีก เช่น ถ้าฝันเห็นไก่ ทำนายว่าจะได้เพื่อนที่ซื่อสัตย์ คนพาลที่คิดร้ายจะพ่ายแพ้ไปเองเพราะใจเราซื่อตรงถือความสัตย์กตัญญู คิดอะไรก็สมความปรารถนา นักปราชญ์ช่วยเหลือเกื้อกูล

 

 

พระธาตุหริภุญชัย พระธาตุปีเกิดของปีระกา

 

 

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/ปีนักษัตร 
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-3/no18/horoscope/sec02m11p01.htm

 



เข้าชม : 971


ความรู้เกี่ยวกับ IT 5 อันดับล่าสุด

      ปีนักษัตร ปีระกา 5 / ม.ค. / 2560
      13เทคนิคเพิ่มความจำก่อนเข้าห้องสอบ 27 / มิ.ย. / 2559
      การพัฒนา Koratsite 31 / ต.ค. / 2553
      มันสามารถเขียนทับไฟล์ที่ลึกกว่า root ได้อีกด้วย 20 / เม.ย. / 2551
      แก้ปัญหา Windows XP บูตช้า 12 / ก.พ. / 2551


 
กศน.ตำบลบ่อยาง 
ตั้งอยู่  ณ  วัดสระเกษ ตำบลบ่อยาง  อำเภอเมืองสงขลา  จังหวัดสงขลา 90000 โทร 081-2751734 อ.พัชนี กังแฮ หัวหน้า กศน.ตำบล
E.Mail : boyang.nfe@gmail.com
Powered by MAXSITE 1.10   Modify by   นิกร เกษโกมล   Version 2.05